อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน... ฉันเชื่อในคำๆ นี้ ถึงหลายคนจะบอกว่าเราสามารถกำหนดมันได้ แต่หากมีอุปสรรคที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมา นั่นอาจจะทำให้การกำหนดของเราไขว้เขว จนถึงทุกวันนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่า ฉันจะทำอาชีพอะไรเป็นอาชีพหลักในอนาคต ฉันชอบและรักการเรียนคณิตศาสตร์ การคำนวรณในแขนงต่างๆ ในขณะเดียวกัน ฉันก็มีความถนัดและความสนใจในภาษาและวรรณกรรม และด้วยเหตุนี้ มันทำให้การตัดสินใจของฉันในระดับอุดมศึกษาแบ่งออกเป็นสองแบบ ซึ่งก็ส่งผลต่อการประกอบอาชีพของฉันในอนาคตอีกด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจไม่ว่าในอนาคตฉันจะประกอบอาชีพอะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างหรือเจ้าของธุรกิจ ฉันจะต้องทำมันให้ได้คือ การเขียน ฉันต้องเขียนสักอย่าง ฉันจะถ่ายทอดทั้งความรู้ จินตนาการ และความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูของความคิด ผ่านตัวอักษรจนไปถึงผู้อื่นให้ได้
" ก้าวต่อไปทีละนิด ทีละนิด แค่นี้ก็ไปได้ไกลแล้ว"
J.R.R Tolkein นักเขียนชาวอังกฤษ เจ้าของผมงานวรรณกรรมชุด Middle Earth
"ฉันต้องเขียนอะไรสักอย่าง" คำๆ นี้เป็นเหมือนแรงผลักดันทั้งหมดในการเป็นนักเขียนของฉัน แต่การเปนนักเขียนไม่ใช่เรื่องแน่นอน ไม่มีคณะไหนที่สอนให้นักเรียนกลายนักเขียนทันทีที่เรียนจบ การจะเป็นนักเขียนได้นั้นเป็นเรื่องของบุคคล อะไรคือความแตกต่างระหว่าง "นักเขียน" กับ "คนที่เขียน" คำถามนี้ถือเป็นคำถามที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้คำตอบ แต่หากคุณได้พบเห็นจริงๆ แล้ว ทั้งสองคนนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป คนที่เขียนคือคนที่เห็นงานเขียนเป็นงาน งานหนึ่ง ในขณะที่ นักเขียน สามารถเขียนได้ทุกเมื่อที่เขามีความคิดที่ดี โดยไม่สนว่า เขียนไปทำไม สิ่งที่เขาอยากทำตอนนาทีนั้นคือ เขียน แล้วนักเขียนคืออะไรกันแน่ จากเว็บไซต์สารานุกรมวิกิพีเดียได้ให้ความหมายไว้ว่า " นักเขียน คือผู้ที่สร้างงานเขียน
อย่างไรก็ตามคำนี้มักใช้เฉพาะกับผู้ที่เขียนงานสร้างสรรค์หรือเป็นอาชีพ
หรือผู้ที่ได้สร้างงานเขียนในลักษณะอื่น ๆ
นักเขียนที่มีความชำนาญจะแสดงความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อที่จะนำเสนอแนวคิดและภาพพจน์ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันเทิงคดีหรือสารคดี " ซึ่งในทางนามธรรมแล้ว นักเขียนสามารถบัญญัติความหมายได้มากมายหลากหลายจนคาดไม่ถึง
" "หนังสือ" ได้เข้ามาในชีวิตคุณหรือยัง? ถ้ายัง ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรกับคุณแล้ว "
Murakami Haruki นักเขียนชาวญี่ปุ่นผู้มีผลงานโด่งดังระดับโลก
หนทางสู่นักเขียนของฉันเริ่มตอนสมัย ป.3 ฉันเริ่มแต่หนังสือเล่มเล็ก เป็นนิทานเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง และผู้อ่านคนแรกของฉันก็คือน้องสาว เธอติดตามอ่านตั้งแต่ที่ฉันเพิ่งทำเล่มแรก อ่านไปเรื่อยๆ จน ฉันมีสมุดเล่มเล็กมากกว่า 10 เล่ม พอขึ้น ป.5 ฉันเริ่มสนใจการ์ตูนญี่ปุ่นจึงหัดวาดการ์ตูนและแต่งฟิคชั่นลงเว็บเด็กดีดอทคอม ตอนนั้นเองที่ทำให้ฉันได้รับสิ่งทีเรียกว่าคำวิจารณ์เป็นครั้งแรก มีคนหลายคนเข้ามา คอมเม้นท์ฟิคชั่นของฉัน พวกเขาสนใจในเรื่องของฉันและอยากติดตามต่อไปแต่ด้วยความที่ฉันยังเด็กและต้องให้ความสนใจเรื่องการสอบเข้ามัธยมทำให้ฉันต้องหยุดเขียนไป ตอนป.6 ฉันและเพื่อนๆ 7 คน ช่วยกันทำหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่ง วาดและแต่งกันเอง ฉันทำหน้าที่แต่งเนื้อเรื่องและให้เพื่อนวาดซึ่งวินาทีที่ฉันได้จับต้นฉบับที่เพื่อนเขียนเสร็จแล้วคอยทำหน้าที่แก้ไขให้ราวกับเป็นบรรณาธิการ มองเห็นเรื่องราวของตนที่แต่ก่อนเป็นตัวหนังสือถูกแปลงจนเป็นภาพสองมิติ จนกระทั่งได้รวมเป็นเล่ม มันมีความสุขมากจริงๆ หลังจากนั้นฉันก็มาเขียนอีกทีตอน ม.2 เนื่องจากฉันอยู่โรงเรียนประจำ ทำให้มีเวลาว่างระหว่างวันค่อนข้างเยอะ ในเวลาว่างนี้ฉันก็เขียนนิยายขึ้นมาซึ่งในช่วงนั้นฉันชอบอ่านนิยายรักของสำนักพิมพ์แจ่มใส ฉันจึงเขียนแนวนั้นค่อนข้างเยอะ เรื่องแรกที่ฉันเขียนถือเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันเริ่มเขียนนิยายต่อมา เมื่อเพื่อนๆ อ่านเรื่องของฉัน ก็มักจะถามถึงตอนต่อไป เขาอยากให้ฉันเขียนต่อ และฉันก็ยินดีรับคำวิจารณ์ของพวกเขาเสมอ แต่การเขียนนั้นเป็นอุปสรรคในตัวมันเองด้วย เราต้องมีความขยันมหาศาลควบคู่ไปกับแรงผลักดันที่ไม่เคยหยุดหย่อน ฉันเขียนเรื่องแรกไปได้เพียง 8 บท ซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ฉันคาดไว้ด้วยซ้ำ และในเรื่องต่อๆ มา ฉันก็เขียนเพียง 3-4 บทเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าการเขียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
John Green นักเขียนนวนิยายชาวอเมริกัน เจ้าของผลงานที่ตรึงใจผู้อ่านทั่วโลก
" ฉันจะเขียนจนกว่าฉันจะไม่สามารถเขียนได้อีกต่อไป มันกลายเป็นขอบังคับของฉันไปแล้ว และ ฉันก็รักมัน "
J.K. Rowling นักเขียนนิยายชุด แฮรี่ พอตเตอร์ วรรณกรรมอมตะ
นักเขียนมืออาชีพคือมือสมัครเล่นที่ไม่เคยหยุดเขียน ตราบใดที่ การเขียน และ การอ่าน ยังคงเป็นสิ่งที่ฉันสามารถใช้เวลาทั้งวันทำมันได้โดยไม่มีวันเบื่อ ฉันก็จะไม่หยุดทำมัน ฉันจะเขียนต่อไป ฉันจะอ่านต่อไป จนกว่าความฝันของฉันจะสำเร็จ ในอนาคตในอีก 5 ปีหรือ 10 ฉันจะต้องไปทำงานอยู่ในบริษัท หรือ เดินทางรอบโลก ฉันไม่รูหรอก แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันกำลังทำอะไร แล้วฉันจะทำต่อไปเรื่อยๆ ในวันข้างหน้า และนี่ก็คืออนาคตของฉัน